เรามารู้จักเจ้าพลังงาน ซากดึกดำบรรพ์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันดีกว่า ปิโตรเลียม มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน 2 คำ คือ เพทรา ( Petra) แปลว่า หิน กับโอลิอุม ( Oleum ) แปลว่าน้ำมัน เมื่อรวมกันแล้วมันจึงมีความหมายว่า น้ำมันที่ได้จากหินนั้นเอง ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบประเภทโฮโดรคาร์บอนและสารอินทรีย์หลายชนิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ปรากฏอยู่ในสถานะของเหลวและแก๊ส น้ำมันดิบจากแหล่งต่างๆก็อาจมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกันได้ เช่น ข้น เหนียวจนถึงหนืดคล้ายยางมะตอย มีทั้งสีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาลไปจนถึงสีดำ น้ำมันดิบส่วนใหญ่เป็นสารประกอบโฮโดรคาร์บอนประเภทแอลเคนและไซโคลแอลเคน อาจมีกำมะถัน ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซด์อื่นๆปนอยู่เล็กน้อย
ส่วนแก๊สธรรมชาติ ประกอบไปด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนตั้งแต่ 1-5 อะตอมมีสถานะเป็นของเหลวและแก๊ส ในการขุดเจาะเราจะไม่สามารถใช้งานจากปิโตรเลียมได้ในทันที ต้องมีกระบวนการแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเสียก่อนและวิธีที่เป็นที่นิยมใช้กันคือ การกลั่นแบบลำดับส่วน ซึ่งก็มีขั้นตอนไม่ซับซ้อนเท่าการขุดเจาะ เพราะการขุดเจาะต้องอาศัยภาพถ่ายดาวเทียม
ภาพถ่ายดาวเทียวอย่างเดียวก็ไม่สามารถบอกเราได้ว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า นอกเสียจากการลงมือขุดเจาะ เราจึงจะรู้ได้ว่ามันมีอยู่เท่าไหน มากน้อยเพียงใด สามารถนำไปใช้เชิงพาณิชย์ได้หรือไม่ นอกจากนี้การค้นพบแหล่งปิโตรเลียมหรือการมีแหล่งปิโตรเลียมใช้ภายในประเทศยังเป็นตัวชี้วัดได้ว่า ประเทศนั้นๆมีความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศไทยของเราทำการขุดเจาะทั้งบนบกและทางทะเลรวมทั้งหมดจำนวน 55 ครั้ง ซึ่งในแต่ล่ะครั้งใช้ทุนทรัพย์จำนวนมากมายในการขุดเจาะและความพยายามที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายในประเทศ